การจัดอันดับหน้าเว็บไซต์ของกูเกิล
การจัดอันดับหน้าเว็บไซต์ของกูเกิล
คนส่วนน้อยที่จะคุ้นเคยกับเรื่อง seo และไม่เคยรู้ตักรู้จักกับ อัลกอริทึมของกูเกิ้ล นับว่าเป็นปัจจัยหลักที่ google ใช้ในการจัดอันดับ ไม่ว่าจะเป็น PR (pagerank), hilltop, trustrank, caffeine, panda, penguin, hummingbird และอื่น ๆ แต่สิ่งที่บางคนอาจไม่รู้คือ google ใช้ ปัจจัยมากกว่า 200 ปัจจัยในการจัดอันดับค้นหาเว็บไซต์ มีอะไรบ้างเรามาดูกัน
- อายุของโดเมนเนม โดเมนเนมที่มีอายุนานกกว่าจะได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่า คือ การเริ่มต้นก่อตั้งจดทะเบียนชื่อเว็บไซต์
- keyword ในชื่อโดเมนเนม โดเมนเนมที่มี keyword ในชื่อโดเมน จะได้เปรียบในการจัดอันดับในคำนั้น ๆ
- keyword ในชื่อโดเมนโดยเป็นคำแรกของโดเมน อย่างเช่น ขายเสื้อผู้ชาย.com ก็จะมีการจัดอันดับที่ดีในคำว่า “ขายเสื้อ” มากกว่าโดเมนที่ไม่มีคำนี้ในชื่อ หรือมีคำนี้แต่ไม่ใช่คำแรกของชื่อโดเมน
- การจดอายุโดเมนนาน ส่งผลต่อการจัดอันดับด้วย เนื่องจาก google มองว่าโดเมนที่ตั้งใจทำนั้นจะจ่ายเงินค่าโดเมนล่วงหน้าหลาย ๆ ปี ในขณะที่เว็บที่ทำแบบฉาบฉวยจะจดอายุเพียงปีสองปี ดังนั้นอายุที่เหลืออยู่ของโดเมนจะช่วยส่งผลกับอันดับด้วย
- keyword ใน subdomain จะช่วยส่งผลที่ดีต่อการจัดอันดับเช่นกัน
- ประวัติของโดเมนนั้น ๆ การที่โดเมนมีการเปลี่ยนชื่อเจ้าของ หรือมีการหมดอายุแต่ไม่มีการต่อหลาย ๆ ครั้ง เป็นสิ่งบอก google ว่าโดเมนนี้ไม่ใช่โดเมนเก่า แต่เป็นโดเมนที่เริ่มทำใหม่ google อาจเริ่มนับค่าใหม่กับโดเมนประเภทนี้
- โดเมนที่ชื่อโดเมนตรงกับ keyword เลย แน่นอนว่าโดเมนประเภทนี้จะทำอันดับได้ดีในคำนั้น ๆ แต่ถ้าเว็บนั้นถูกสร้างโดยไม่ใช่เว็บคุณภาพ google ก็จะลดอันดับโดเมนพวกนี้ลง
- การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเจ้าของโดเมน whois การจดโดเมนเราสามารถเลือกจดแบบ private whois ซึ่งจะไม่เปิดเผยข้อมูลของเรา สิ่งนี้ google มองว่าถ้าเว็บที่ถูกต้อง ย่อมไม่กลัวการเปิดเผยข้อมูล การที่เว็บซ่อนเร้นอะไรบางอย่างย่อมไม่ใช่เรื่องดี
- การลงโทษ โดยใช้ข้อมูล whois ถ้ามีเว็บใด ๆ ที่ google ลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง spam หรือการฝ่าฝืนข้อห้ามอื่น ๆ ของ google เว็บไซต์อื่นที่ข้อมูล whois เป็นเจ้าของเดียวกัน อาจโดนผลลบตามไปด้วย
- นามสกุลโดเมน เช่น .th อาจช่วยส่งผลให้เว็บนั้นทำอันดับใน google.co.th ได้ดี เหมือนกับเว็บไซต์ ประเทศอื่น ๆ ที่จะทำอันดับในประเทศนั้น ๆ ได้ดี แต่สิ่งนี้อาจส่งผลการจัดอันดับใน google.com ที่แย่กว่าปกติ
- keyword ในหัวข้อเว็บ ส่งผลกับการทำ seo ในคำนั้น ๆ
- การใส่ keyword ในคำแรกของหัวข้อเว็บ
- keyword ใน meta description
- การใส่คำนั้น ๆ ที่ต้องการลงใน H1 tag
- การใช้คำนั้น ๆ หลาย ๆ ครั้งในบทความ จะบอกว่าบทความนี้เกี่ยวข้องกับคำนั้น ๆ ส่งผลต่อการที่ search engine จะนำไปจัดอันดับ
- จำนวนคำของบทความ บทความที่มีจำนวนคำมากกว่าย่อมส่งผลดีกว่าบทความที่มีจำนวนข้อความสั้น ๆ
- ความหนาแน่นของคำที่ต้องการในบทความส่งผลต่อการจัดอันดับ แต่การใช้คำมากเกินไป ย่อมส่งผลเสียเช่นกัน
- LSI (Latent semantic indexing keyword) ในบทความไม่ควรเน้นแต่คำที่ต้องการ แต่ควรเน้นคำที่เป็น LSI ด้วย คือ keyword ที่ใกล้เคียงหรือเกี่ยวข้องกัน
- LSI ในหัวข้อ และ meta description
- ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ ช่วยส่งผลต่อการจัดอันดับ ยิ่งไฟล์เล็ก โหลดได้เร็ว จะยิ่งมีผลดี
- บทความที่ซ้ำกัน จะส่งผลเสียต่อการจัดอันดับ
- การใช้ rel=canonical อย่างเหมาะสม จะทำให้ google รู้ว่าเราไม่ได้ตั้งใจทำบทความซ้ำกัน
- ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บผ่าน browser chrome เป็นที่รู้กันว่า chrome เป็นของ google อะไรที่ chrome ไม่ปลื้ม google ก็ไม่ชอบตามไปด้วย
- การทำ seo ให้กับรูปภาพ ไม่ว่าจะเป็นชื่อรูป alt text, title, description, caption ของรูป
- ความสดใหม่ของบทความ เป็นสิ่งที่ caffeine algorithm ใช้ในการจัดอันดับ เพราะ google เชื่อว่า บทความที่เขียนไว้นาน ๆ อาจล้าสมัยไปแล้ว จึงสร้าง caffeine ขึ้นมาเพื่อให้บทความที่ใหม่กว่าซึ่งอาจจะมีข้อความที่มีข้อมูลที่ทันสมัยกว่า ได้อันดับที่ดีกว่า
- การแก้ไขบทความ ทำให้ google รู้ว่าบทความนี้เปลี่ยนไป มีความสดใหม่กว่าบทความเก่า จะได้อันดับที่ดีขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นควรเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นการเขียนข้อความใหม่เพิ่มเข้ามา มากกว่าการเปลี่ยนแค่คำไม่กี่คำ
- ความถี่ในการแก้ไขบทความ ยิ่งบทความเปลี่ยนบ่อย google ยิ่งรับรู้ถึงความสดใหม่ของบทความ
- การมีคำที่ต้องการปรากฎอยู่ใน คำ 100 คำแรกจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้การจัดอันดับของ google ให้ดีขึ้น
- keyword ที่ต้องการใน H2, H3 tag
- การเรียงคำที่ถูกต้องอย่างเช่น ทำบุญวันเกิด จะส่งผลให้อันดับคำว่า ทำบุญวันเกิด ดีกว่าการใช้ วันเกิดทำบุญ
- การทำ Link ออกไปยังเว็บคุณภาพ
- การทำ Link ออกไปเว็บอื่น อย่างเช่นถ้าเว็บของคุณเกี่ยวกับกระต่าย การทำ link ไปยังเว็บตุ๊กตาจากหน้านั้น อาจจะเป็นการบอก google ว่าหน้าเว็บนั้นเกี่ยวกับตุ๊กตากระต่าย ไม่ใช่แค่กระต่าย
- การใช้ไวยากรณ์ที่ถูกต้อง สำหรับภาษาอังกฤษ การใช้บทความมั่ว ๆ ไวยากรณ์ไม่ถูกต้องจะส่งผลเสีย แต่ไม่แน่ใจว่า google เก่งขนาดรู้ไวยากรณ์ภาษาไทยและภาษาอื่น ๆ ได้หรือไม่ แต่การใช้อย่างถูกต้องไว้ก่อนก็เป็นสิ่งดี
- บทความที่เขียนขึ้นใหม่ย่อมทำอันดับได้ดีกว่าบทความที่คัดลอกมา
- บทความเสริมที่เป็นประโยชน์จะช่วยให้เพิ่มคุณภาพให้กับหน้าเว็บ ซึ่งช่วยในการจัดอันดับของ google ดังนั้นการทำเว็บควรนึกถึงคนอ่านเว็บเราว่าจะได้ประโยชน์อะไรบ้างจากบทความของเรา
- จำนวนลิงก์ออกที่ไม่มากเกินไป
- การใส่รูป วีดีโอหรือไฟล์สื่ออื่น ๆ ในบทความจะช่วยเรื่องคุณภาพของบทความ
- จำนวนของลิงก์ภายในเว็บเดียวกันที่ลิงก์มาหาหน้านั้น
- คุณภาพของลิงก์ภายในเว็บเดียวกัน ความเกี่ยวข้องของเนื้อหาหน้าอื่นที่ลิงก์มาหา และ pagerank ของหน้านั้น ๆ
- การที่มีลิงก์ออกไปยังหน้าเว็บที่ไม่มีอยู่ ส่งผลเสียต่อการจัดอันดับของเว็บ การที่เว็บมี link เสียจำนวนมากหมายถึง เว็บนั้นที่ถูกทิ้ง ไม่เอาใจใส่
- ระดับการอ่าน เป็นสิ่งหนึ่งที่ google ใช้ในการจัดอันดับ แบ่งออกเป็นสามขั้น ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง แล้วแค่ระดับของคำศัพท์ที่ใช้ในบทความ ยิ่งเว็บเราจัดอยู่ในระดับสูงก็จะยิ่งได้อันดับดี แต่การจัดอันดับภาษาไทยคงไม่เหมือนภาษาอังกฤษ
- ลิงก์ affiliate การมี link ประเภทนี้ในเว็บไซต์ก็ไม่ใช่ผลเสียอะไรตามใดที่คุณไม่ใส่มัน “มาก”เกินพอดี ซึ่งอาจจะโดน google เพ่งเล็งได้ว่าเป็นเว็บ “thin affiliate site” คือเว็บที่มีเนื้อหาน้อยเกินไป แต่มี link affiliate มากเกินไป
- การใส่ tag html ผิดพลาด หรือการ verify wc3 แล้วมีความผิดพลาดจำนวนมาก เป็นสัญญาณว่าเว็บนั้นไม่ได้คุณภาพ แต่บางคนกลับคิดตรงข้ามเรื่องการ verify wc3 ว่าอาจให้ผลตรงข้าม
- หน้าเว็บของโดเมนที่มี authority มากกว่าย่อมอันดับดีกว่าเว็บที่มีค่าน้อยกว่า
- pagerank ของหน้านั้น PR ที่สูงกว่าย่อมได้อันดับดีกว่า
- ความยาวของ URL URL ที่ยาวมาก ๆ อาจเป็นผลเสียกับการมองเห็นของผลลัพท์การค้นหา
- ที่อยู่ URL หรือ URL path ยิ่งหน้านั้นอยู่ใกล้กับหน้าแรกเว็บก็ย่อมได้ authority มากกว่าหน้าอื่น
- แม้ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ แต่ google เองมีสิทธิบัตรที่พูดถึงระบบที่อนุญาตให้ผู้แก้ไขที่เป็นคนจริง ๆ สามารถแก้ไขบางอย่างที่อาจส่งผลกับการจัดอันดับได้
- หน้าหมวดหมู่ เป็นสิ่งที่รวบรวมหน้าที่มีเนื้อหาคล้ายกันเข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้อันดับหน้าที่อยู่ในหน้าหมวดหมู่ดีขึ้นในคำนั้น
- ป้ายกำกับ เช่น wordpress tag การเชื่อมโยงบทความที่คล้ายกันเข้าด้วยกัน ซึ่ง wordpress tag ตอบสนองสิ่งนี้เป็นอย่างดี
- มี keyword ใน url
- หมวดหมู่ใน URL ซึ่งอ่านได้โดย google อาจจะช่วยให้ google จัดอันดับและแสดงได้ดีขึ้นว่าหน้าเว็บเราเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร
- การอ้างอิงและแหล่งที่มา หน้าเว็บที่มีการอ้างอิง และแหล่งที่มา อาจบอกถึงคุณภาพของหน้าเว็บนั้น ซึ่ง google เองก็ยังบอกว่าผู้อ่านนั้นควรจะดูว่าบทความมีแหล่งที่มาหรือไม่
- การใช้ bullets และตัวเลข จะช่วยแบ่งบทความของคุณให้ผู้อ่าน อ่านง่ายขึ้น ทำให้บทความเป็นมิตรกับผู้อ่านมากขึ้น google ชอบบทความที่มี bullets และตัวเลข
- ลำดับหน้าในไฟล์ sitemap สิ่งนี้อาจส่งผลต่อการจัดอันดับเช่นเดียวกัน
- การมีลิงก์ออกมากเกินไป ส่งผลเสียต่อการจัดการอันดับของเว็บ
- จำนวนคำอื่น ๆ ในหน้านั้นในการจัดอันดับ ถ้ามีคำอื่น ๆ อีกหลายคำที่หน้านั้นเน้น ก็ส่งผลให้ google มองว่าเป็นหน้าคุณภาพ
- อายุของหน้านั้น แม้ว่า google จะชอบเนื้อหาที่สดใหม่ หน้าเก่า ๆ ที่อัปเดตบ่อย ๆ ก็ให้ผลดีกว่าหน้าเว็บใหม่ ๆ
- หน้าตาเว็บที่เป็นมิตรกับผู้อ่านทำให้ google มองว่าเป็นเว็บคุณภาพ
- parked domain google ให้ความสำคัญกับ parked domain น้อยลงตั้งแต่การอัปเดตเมื่อ Dec 2011
- บทความที่มีประโยชน์
- ทความที่มีสาระและไม่ซ้ำใคร google นั้นลงโทษเว็บที่มีบทความซ้ำ ๆ หรือบทความน้อยแต่มี link ออกมากเกินไป
- หน้าติดต่อเรา เป็นสิ่งหนึ่งที่เว็บควรมี เพราะ google ชอบเว็บที่มีข้อมูลให้ติดต่อได้ และถ้าข้อมูลตรงกับ whois ก็อาจช่วยมากขึ้น
- trustrank หรือ domain trust จำนวน link ที่เว็บคุณได้จากเว็บอื่น โดยเฉพาะเว็บที่มี trustrank สูงหรือเว็บที่ google เรียกว่า seed sites
- โครงสร้างเว็บไซต์ ช่วย google จัดการกับบทความในเว็บคุณได้เป็นอย่างดี
- การอัปเดตเว็บบ่อย ๆ โดยเฉพาะถ้าเป็นเนื้อหาที่ไม่ซ้ำใคร
- จำนวนหน้าเว็บ เว็บที่มีจำนวนหน้าเยอะ ทำให้ google มองว่าเป็นเว็บคุณภาพ
- การมีไฟล์ sitemap ไฟล์นี้ช่วยให้ search engines รู้จักเว็บไซต์คุณดีขึ้น
- site uptime การที่เว็บ down นั้นส่งผลเสียต่อการจัดอันดับเว็บคุณ
- ที่อยู่ของเซิฟเวอร์ : ที่อยู่ของเซิฟเวอร์อาจจะมีผลทำให้เว็บของคุณมีอันดับต่างกันไปในแต่ละประเทศได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นการค้นหาแบบเจาะจงพื้นที่
- SSL Certificate (สำหรับเว็บอีคอมเมิร์ซ) กูเกิ้ลยืนยันว่าพวกเขาทำการเก็บข้อมูล SSL certificate ด้วย ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลนึงว่า google อาจจะจัดอันดับเว็บอีคอมเมิร์ซที่มี SSL certificates สูงกว่าเว็บอื่น ๆ
- เงื่อนไขการให้บริการและหน้าส่วนตัว สองหน้านี้จะช่วยบอก google ว่าเว็บไซต์นี้เป็นเว็บที่มีความน่าเชื่อถือในโลกออนไลน์
- เนื้อหาที่ซ้ำกันบนเว็บ: หน้าที่ซ้ำซ้อนและ meta information ที่เหมือนกันทุกหน้าในเว็บอาจจะทำให้เว็บไซต์ของคุณอันดับต่ำลง
- เมนูแบบ Breadcrumb เป็นเมนูที่ช่วยให้ผู้เยี่ยมชม รวมไปถึง search engines รู้ว่าตอนนี้หน้าที่พวกเขาอยู่นั้นอยู่ตรงส่วนไหนของเว็บ ซึ่งบางเว็บไซต์อ้างว่ามันช่วยในเรื่องการจัดอันดับด้วย
- การออกแบบให้รองรับอุปกรณ์มือถือ การออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับอุปกรณ์มือถือต่าง ๆ (responsive website) จะช่วยให้ติดอันดับที่ดีในการค้นหาโดยใช้อุปกรณ์มือถือ
- Youtube แน่นอนว่าวีดีโอเว็บ youtube สามารถทำอันดับใน google ได้ดี เหตุผลง่าย ๆ ก็แค่เจ้าของเดียวกัน
- เว็บไซต์ที่ยากต่อการใช้งาน หรือดูหน้าเว็บ จะทำให้อันดับแย่ลงเนื่องจากผู้เยี่ยมชมใช้เวลาบนเว็บไซต์น้อยกว่าเว็บทั่วไป รวมดูจำนวนหน้าที่ดูน้อยกว่า การกลับเข้ามาดูอีกครั้งที่ต่ำ
- การใช้ google analytics และ google webmaster tools หลายคนมีความเชื่อว่าถ้ามีการติดตั้งสองโปรแกรมนี้บนเว็บจะช่วยเรื่องการเก็บข้อมูล และส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับเนื่องจากได้ให้ข้อมูลของเว็บคุณตามที่ google ต้องการ
- คำวิจารณ์จากผู้เยี่ยมชม/ชื่อเสียงของเว็บไซต์ คำวิจารณ์บนเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ จะส่งผลต่อการจัดอันดับ ซึ่งเราได้เห็นความพยายามจะใช้สิ่งนี้เข้ามาร่วมจัดอันดับหลายครั้ง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถให้คะแนนเว็บเพื่อลดปัญหาการสร้าง link ที่เน้นเรื่อง seo มากกว่าเป็น link ตามธรรมชาติ
- ลิงก์จากเว็บที่มีอายุเก่าแก่ให้ผลดีมากกว่าลิงก์จากเว็บใหม่ ๆ
- จำนวนลิงก์ที่ลิงก์ไปที่หน้าหลักของเว็บ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับของ google
- จำนวนของลิงก์ที่ได้จากเว็บที่มี IP class C แตกต่างกัน ยิ่งหลากหลายเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลดีกับเว็บคุณ
- จำนวนลิงก์จากหน้าต่าง ๆ แม้ว่าจะเป็นหลาย ๆ หน้าในเว็บเดียวกัน แต่จำนวนที่ลิงก์มาก็ส่งผลต่อการจัดอันดับ
- Alt Tag สำหรับ ลิงก์รูปภาพ อย่าลืมใส่ให้กับรูปภาพในเว็บคุณ
- ลิงก์จากเว็บ .edu หรือ .gov แม้ว่า Matt Cutts เองจะบอกว่า ลิงก์จากเว็บพวกนี้ไม่ได้สำคัญกว่าลิงก์จากเว็บทั่ว ๆ ไป แต่หลายคนไม่เชื่อ และมั่นใจว่าการได้ลิงก์จากเว็บ .edu และ .gov ส่งผลดีกว่าลิงก์จากเว็บทั่วไปแน่ ๆ
- pagerank ของหน้าที่ทำลิงก์มาหาเว็บคุณ ยิ่งสูงยิ่งดี
- ค่า authority ของเว็บที่ทำลิงก์มาหาเว็บคุณ เช่นการได้ลิงก์จากหน้าเว็บ pr2 เหมือนกัน แต่หน้าหลักเว็บแรก pr3 ในขณะที่เว็บที่สองหน้าหลัก pr8 การได้ลิงก์จากเว็บที่สองย่อมได้ผลดีกว่า
- ลิงก์จากเว็บคู่แข่ง ลิงก์จากหน้าเว็บที่อยู่ในหน้าผลการจัดอันดับในคำเดียวกัน ย่อมส่งผลดีกับเว็บคุณในคำนั้น ๆ
- การแชร์ในโซเชียลเน็ตเวิร์ค ยิ่งจำนวนมากยิ่งส่งผลกับหน้านั้น ๆ
- link จากเว็บไซต์ที่ไม่พึงประสงค์ เว็บต้องห้ามต่าง ๆ จะส่งผลเสียกับเว็บไซต์คุณ
- การเขียนจากบุคคลภายนอก ลิงก์ที่ได้นั้นส่วนใหญ่จะได้ในส่วนของผู้เขียนข้อความนั้น ซึ่งถือว่ามีค่าน้อยกว่าลิงก์ในบทความ
- ลิงก์ไปที่หน้าแรกของเว็บของหน้าใน การมีลิงก์ไปที่หน้าหลักบนหน้ารอง ๆ ของเว็บจะช่วยส่งผลต่อการจัดอันดับ
- Nofollow links หนึ่งในหัวข้อที่ถูกพูดถึงบ่อยหัวข้อหนึ่งเมื่อพูดถึง SEO ซึ่ง google เองก็ได้บอกอย่างง่าย ๆ ว่า โดยทั่วไปแล้ว เราไม่ให้ความสนใจกับ nofollow link ซึ่งคำว่า “โดยทั่วไป” คือในกรณีปกติ ซึ่งหมายถึงมีกรณีที่นอกเหนือจากปกติและ google สนใจ ดังนั้นการได้ nofollow link ก็ดีกว่าไม่ได้เลย
- ความหลากหลายของลิงก์ การมีลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติจำนวนมากนั้น สามารถดูได้ง่าย ๆ เช่น ลิงก์ส่วนใหญ่มาจากแหล่งคล้าย ๆ กัน เช่น ลิงก์จากประวัติส่วนตัวในฟอรั่มหรือเว็บบอร์ด ลิงก์จากการเขียนความเห็นในบล็อก ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการแสปม แต่ในอีกนัยนึงการได้ลิงก์ที่หลากหลายก็เป็นสัญญาณว่าเป็นลิงก์ที่เป็นคุณภาพ
- ลิงก์ผู้สนับสนุนหรือลิงก์จากคำที่มีความหมายคล้าย ๆ กัน จะลดค่าของลิงก์นั้น
- ลิงก์ในเนื้อหาบทความ ส่งผลดีมากกว่า ลิงก์ที่อยู่บนหน้าว่าง ๆ หรือลิงก์ที่เจอในส่วนอื่นของหน้า
- การมี redirect 301 มาที่หน้าที่มากเกินไป อาจส่งผลเสียกับเว็บคุณ
- anchor text link เป็นสิ่งที่ช่วยให้ google รู้ว่า จะจัดการอันดับให้เว็บด้วยคำว่าอะไร แต่หลัง ๆ ความสำคัญลดลงมากเนื่องจากมีการ spam anchor text link
- การทำ anchor text link ให้กับลิงก์ภายในไปยังหน้าเว็บที่เกี่ยวกับคำนั้น ช่วยส่งผลต่อการจัดอันดับ แม้ว่าอาจไม่เหมือนการได้ลิงก์จากเว็บภายนอก
- หัวข้อลิงก์ ข้อความที่ปรากฎขึ้นเมื่อคุณลากเม้าส์ไปเหนือลิงก์นั้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการจัดอันดับ
- การได้ลิงก์พวกโดเมน ดอทต่าง ๆ ที่เป็นชื่อประเทศ เช่น .th , .co.uk, .de จะช่วยให้เว็บของคุณทำอันดับได้ดีในประเทศนั้น ๆ
- ลิงก์ที่อยู่ในบทความ: ลิงก์ที่อยู่ในส่วนของบทความจะมีน้ำหนักมากกว่า ลิงก์ที่อยู่ตอนท้ายของบทความ
- ที่อยู่ของลิงก์ในหน้า นั้นเป็นจุดสำคัญอย่างหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วลิงก์ในบทความของหน้านั้นจะมีพลังมากกว่าลิงก์ที่ด้านข้างหรือด้านล่างของเว็บ
- การได้ลิงก์จากเว็บที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกัน ยิ่งเป็นเว็บที่เฉพาะเจาะจง ยิ่งได้พลังจากเว็บเหล่านั้นมากกว่าได้ลิงกืจากเว็บที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
- ระดับความเกี่ยวข้องของหน้า hilltop algorithm บอกว่าลิงก์จากหน้าที่ใกล้เคียงกับบทความหน้าจะมีพลังมากกว่าได้ลิงก์จากหน้าที่ไม่เกี่ยวข้อง
- ข้อความรอบ ๆ ลิงก์ google อาจใช้ข้อความรอบ ๆ ลิงก์นั้นเพื่อตัดสินว่าลิงก์นั้นเป็นอย่างไร เพราะข้อความการเป็นคำแนะนำเว็บคุณ หรือเป็นการวิจารณ์เว็บคุณในแง่ร้าย ลิงก์ที่มีข้อความรอบ ๆ เป็นข้อความที่ดีย่อมส่งผลดีมากกว่า
- คีย์เวิร์ดในหัวข้อ google ชอบลิงก์ที่ anchor text เป็นคำเดียวกับคีย์เวิร์ดในหัวข้อเป็นพิเศษ
- Link velocity การที่เว็บเราได้ backlink เพิ่มหรือลด เช่นเว็บคุณได้ backlink อยู่ 1,000 ลิงก์ เมื่อเวลาผ่านไปเว็บคุณได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็น 1,500 ลิงก์ ย่อมหมายถึงเว็บคุณได้รับความนิยม การมี positive link velocity ย่อมเป็นผลดีกับเว็บของคุณ
- negative link velocity ตรงกันข้ามกับ positive link velocity การที่เว็บของคุณมีจำนวน backlink น้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป หมายถึงการเสื่อมความนิยมของเว็บของคุณ
- ลิงก์จากหน้าเว็บท่า การได้ลิงก์จากหน้าเว็บที่ google มองว่าเป็นเว็บข้อมูลชั้นดี หรือหน้าเว็บท่า ในหัวข้อเฉพาะจะได้รับการจัดอันดับที่ดีเป็นพิเศษ
- ลิงก์จากเว็บ Authority : ลิงก์จาก “เว็บ authority” จะช่วยเพิ่มพลังให้เว็บคุณมากกว่าเว็บเล็ก ๆ ทั่วไป
- การได้ลิงก์จากแหล่งอ้างอิงใน Wikipedia : แม้ว่าลิงก์เหล่านั้นจะเป็น nofollow แต่หลายคนก็คิดว่าการได้ลิงก์จาก Wikipedia จะช่วยเพิ่ม trust และ authority ให้กับเว็บคุณในการจัดอันดับของ search engines.
- คำที่ปรากฎรอบ ๆ: คำที่ปรากฎรอบ ๆ backlinks ของคุณจะช่วยให้ Google รู้ว่าหน้าเว็บคุณเกี่ยวกับอะไร
- อายุ Backlink : สอดคล้องกับสิทธิบัตรของ Google ลิงก์ที่เก่าแก่กว่าจะให้พลังมากกว่าลิงก์ใหม่ ๆ
- ลิงก์จากเว็บจริง ๆ เทียบกับ Splogs : เนื่องจากการมีบล็อกเน็ตเวิร์คเพิ่มขึ้นจำนวนมาก Google จึงให้น้ำหนักมากกว่าจากลิงก์ที่มาจากเว็บจริง ๆ จากบล็อกปลอม ๆ
- ลิงก์จากประวัติส่วนตัวที่เป็นธรรมชาติ: เว็บที่มีลิงก์ประวัติส่วนตัวเป็น “ธรรมชาติ” จะได้อันดับที่ดีและมั่นคงกว่าในการอัปเดต
- การแลกเปลี่ยนลิงก์: Google ห้ามทำการแลกเปลี่ยนลิงก์มากเกินไป ซึ่งจะผลเสียต่ออันดับของเว็บไซต์คุณ
- ลิงก์เนื้อหาที่ผู้ใช้สร้าง: Google สามารถแยกได้ว่าลิงก์มาจากผู้ใช้หรือเจ้าของสร้าง ตัวอย่างเช่น google รู้ว่าลิงก์ที่มาจากบล็อกทางการของ WordPress.com ที่ en.blog.wordpress.com นั้นจะแตกต่างจากลิงก์จากบล็อกชื่ออื่น ๆ ของ wordpress.com (ตัวอย่างเช่น ******.wordpress.com)
- ลิงก์จากหน้า 301: ลิงก์จากหน้า 301 redirects อาจจะเสียพลังไปบ้างเมื่อเทียบกับลิงก์ตรง ๆ อย่างไรก็ดี Matt Cutts บอกว่าลิงก์ 301 นั้นให้ผลคล้ายกับลิงก์ตรง ๆ
- Schema.org Microformats: หน้าที่รองรับรูปแบบ microformats อาจได้อันดับดีกว่าหน้าที่ไม่รองรับมัน
- การติด DMOZ: หลายคนเชื่อว่า Google ให้เครดิตกับเว็บที่ติดใน DMOZ ว่าเป็นเว็บที่มีคุณภาพ
- การติดในไดเรกทอรีของ Yahoo!: google น่าจะมี algorithm ที่ให้ความสำคัญกับ Yahoo! Directory ดูจากการเป็นเว็บไดเรกทอรีมาอย่างยาวนาน ไม่แปลกที่เว็บที่ติดในนี้จะได้อันดับที่ดี
- จำนวนของลิงก์ออกในหน้า: PageRank นั้นมีข้อจำกัด ดังนั้นลิงก์บนหน้าที่มีลิงก์ออกเป็นร้อย ๆ ลิงก์ย่อมส่งพลังของ pagerank ต่อไปได้น้อยกว่าหน้าเว็บที่มีลิงก์ออกน้อยกว่า
- ลิงก์ประวัติส่วนตัวฟอรั่ม: เพราะว่ามีการเพิ่มจำนวนสแปมค่อนข้างมาก Google จึงอาจจะลดความสำคัญของลิงก์จากหน้าประวัติส่วนตัวในฟอรั่มลง
- จำนวนคำของลิงก์เนื้อหา: ลิงก์จากบทความหนึ่งพันคำย่อมให้ผลดีกว่าลิงก์จากหน้าบทความที่มีเพียง ไม่กี่สิบคำ
- คุณภาพของลิงก์เนื้อหา: ลิงก์จากหน้าบทความแย่ ๆ อย่างบทความที่อ่านไม่รู้เรื่อง จะไม่ส่งพลังให้มากเหมือนกับหน้าบทความที่มีการเขียนเรียบเรียงอย่างดี
- ลิงก์ด้านข้างเว็บไซต์: Matt Cutts ยืนยันแล้วว่าลิงก์ด้านข้างเว็บไซต์ที่อยู่ทุกหน้าของเว็บนั้นจะถูก ”นับรวม” เป็นเพียงแค่ลิงก์เดียว
- อัตราการคลิกสำหรับ Keyword ในหน้าการค้นหา: หน้าที่ได้คลิกมากกว่าจะได้อันดับที่ดีขึ้นใน keyword นั้น
- อัตราการคลิกสำหรับทุก Keywords: หน้าหรือเว็บไซต์ที่มีอัตราการกดคลิกสูงสำหรับทุก keywords จะถูกจัดอันดับให้ดีขึ้นโดยใช้หลักเกณฑ์ว่ามีคนสนใจมาก ก็น่าจะเป็นหน้าเว็บที่น่าสนใจ
- ระยะเวลาการอยู่ในหน้าเว็บ: หลายคนเชื่อ ในขณะที่อีกหลายคนไม่เชื่อว่าระยะเวลาที่ผู้เยี่ยมชมอยู่ในหน้าเว็บจะส่งผลกับ SEO แต่มันอาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ google ใช้ในการจัดอันดับโดยใช้ผู้ใช้ของตัวเอง เป็นตัววัดคุณภาพของหน้าเว็บนั้น ๆ เพราะถ้าหน้าเว็บไม่ดี คนจะรีบกดออกอย่างรวดเร็ว
- ทราฟฟิกแบบตรง: มีการยืนยันแล้วว่า Google ใช้ข้อมูลจาก Google Chrome เพื่อกำหนดว่ามีหรือไม่มีผู้คนเยี่ยมชมเว็บไซต์ (และเยี่ยมชมบ่อยแค่ไหน) เว็บไซต์ที่มีการเปิดเข้าเว็บโดยตรงจะถูกมองว่าเป็นเว็บคุณภาพดีกว่าเว็บที่ถูกเปิดด้วยวิธีแบบอื่น
- ทราฟฟิกซ้ำ: google มองว่าผู้เยี่ยมชมเว็บนั้น ได้กลับมาชมเว็บอีกหรือไม่ เว็บไซต์ที่มีผู้เยี่ยมชมเดิม ๆ เข้ามาซ้ำจะมองว่าเป็นเว็บคุณภาพดี และได้รับการจัดอันดับที่ดี
- เว็บที่ถูกปิดกั้น: Google ไม่ใช่สิ่งนี้แล้วใน Chrome อย่างไรก็ตาม Panda algorithm ใช้คำสั่งนี้ในการตัดสินว่าเป็นเว็บที่มีคุณภาพหรือไม่
- Chrome Bookmarks: bookmark ใน Chrome อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ google ใช้มาช่วยวัดคุณภาพของเว็บ
- ข้อมูล Google Toolbar: มีรายงานว่า Google ใช้ข้อมูลทูลบาร์เป็นตัววัดคุณภาพเว็บด้วย อย่างไรก็ตาม จากที่เราเคยรู้มาว่า google เก็บเวลาในการโหลดหน้าเว็บและเว็บนั้นติด แต่ตอนนี้ก็ได้รู้เพิ่มว่า google เก็บข้อมูลของเว็บเพิ่มจาก toolbar ของตัวเอง
- จำนวนความคิดเห็น: หน้าที่มีความเห็นจำนวนมาอาจจะบ่งบอกถึงการตอบสนองของผู้ใช้และคุณภาพของเว็บ
- Dwell Time: Google ให้ความสนใจอย่างมากกับ “dwell time”: ผู้คนใช้เวลานานเท่าไหร่บนเว็บไซต์คุณเมื่อมาจากหน้าค้นหาของ google บางครั้งสิ่งนี้ก็ถูกเอาไปอ้างอิงถึงเปรียบเทียบ “long clicks” กับ “short clicks”. ถ้าผู้คนใช้เวลาอยู่บนเว็บของคุณนาน ก็หมายถึงเว็บคุณเป็นเว็บคุณภาพ
- Query Deserves Freshness: Google ให้อันดับที่ดีสำหรับหน้าใหม่ ๆ เนื้อหาใหม่ ๆ ในผลการค้นหา สอดคล้องกับ caffeine algorithm แต่หลัง ๆ ก็โดนลดความสำคัญลง
- Query Deserves Diversity: Google อาจจะเพิ่มความหลากหลายเข้าไปในผลลัพท์การค้นหาสำหรับคีย์เวิร์ดทั่ว ๆ ไปอย่างเช่นคำว่า “Ted”, “WWF” หรือ “ruby”
- ประวัติการใช้เบราว์เซอร์ของผู้ใช้: เว็บไซต์ที่คุมเยี่ยมชมบ่อย ๆ ในขณะที่คุณเข้าสู่ระบบของ google จะได้รับการจัดอันดับที่ดีสำหรับการค้นหาของคุณ
- ประวัติการค้นหาของผู้ใช้: ผลลัพท์การค้นหาก่อนหน้าจะส่งผลต่อการค้นหาล่าสุด ตัวอย่างเช่นถ้าคุณค้นหา “รีวิว” แล้วค้นหาคำว่า “มือถือ” google จะจัดอันดับเว็บที่มีคำว่า “รีวิว มือถือ” สูงขึ้นในผลการค้นหา
- Geo Targeting: Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีไอพีเซิร์ฟเวอร์ในถิ่นที่อยู่แถบนั้นและดอทต่าง ๆ ที่มีประเทศลงท้าย
- การค้นหาแบบปลอดภัย: การค้นหาแบบปลอดภัยจะปิดกั้นไม่ให้คำหยาบและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับเยาวชนมาแสดง
- Google+ Circles: Google แสดงอันดับที่สูงสำหรับผู้เขียนและเว็บไซต์ที่เราได้เพิ่มลงในแวดวง Google Plus ของเรา
- การร้องเรียน DMCA: Google จะลดอันดับของหน้าเว็บที่ถูกร้องเรียนเกี่ยวกับ DMCA
- ความหลากหลายของโดเมน: ดูเหมือนว่าจะมี algorithm ที่ชื่อว่า Bigfoot Update ที่จะทำการเพิ่มหน้าโดเมนต่าง ๆ เน้นที่ความหลากหลายในหน้าการค้นหามากขึ้นทำให้ หน้ารอง ๆ ของเว็บอันดับต้น ๆ ได้อันดับดีกว่า หน้าหลักของเว็บรอง ๆ
- การค้นหาคีย์เวิร์ดสินค้า: บางครั้ง Google จะแสดงผลลัพท์สำหรับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับสินค้าหรือการขายของในรูแบบที่แตกต่างออกไป
- การค้นหาท้องถิ่น: Google มักจะใส่ผลการค้นหาท้องถิ่นของ Google+ Local results ลงในหน้าผลลัพท์การค้นหาทั่ว ๆ ไป
- Google News Box: การค้นหาบางคีย์เวิร์ด google อาจจะแสดงผลลัพท์ข่าวของ google ที่เกี่ยวกับคีย์เวิร์ดนั้นในบางครั้ง
- ความให้ความสำคัญกับยี่ห้อดัง ๆ: Algorithm ที่ชื่อว่า Vince ที่ถูกเพิ่มขึ้นมาในปี 2009 ไม่ได้ทำให้อันดับเปลี่ยนแปลงมาก แต่มันให้ความสำคัญกับยี่ห้อดัง ๆ โดยทำให้หน้าเว็บยี่ห้อดัง ๆ ติดอันดับในคำที่ niche มากขึ้น
- ผลลัพท์สินค้า : บางครั้ง google แสดง ผลลัพท์สินค้า ( Google Shopping results) ในการค้นหา
- ผลการค้นหาแบบรูปภาพ: บางครั้ง Google แทรกผลการค้นหาของเราด้วยผลลัพท์การค้นหารูป ที่ถูกดูมากที่สุดบนการค้นหาแบบรูปภาพ
- การค้นหาแบบ Easter Egg: Google มีการค้นแบบ Easter Egg อยู่สิบกว่าอย่าง ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณค้นหาคำว่า ”Atari Breakout” ในการค้นหาแบบรูป ภาพ ผลลัพท์การค้นหาจะกลายเป็นการเริ่มเล่นเกมส์นี้
การค้นหาแบบรูปภาพ หาคำว่า “Atari Breakout”
การค้นหาแบบเว็บ “Zerg rush”, “do a barrel roll”, “blink html” - ผลการค้นหาแสดงเว็บไซต์เดียวสำหรับยี่ห้อ : คีย์เวิร์ดที่เป็น ชื่อเว็บหรือยี่ห้อจะทำให้เกิดผลการค้นหาจากเว็บเดียวกันหลาย ๆ หน้า
- จำนวนครั้งที่ทวีต: คล้ายกันกับลิงก์ การทวีตหน้าจะช่วยเพิ่มอันดับใน google
- บัญชีของผู้ใช้ Twitter ที่มีชื่อเสียง: เหมือนกันการทวีตจากหน้าผู้ใช้ที่สร้างมานานแล้ว หรือหน้าของผู้ใช้ที่มีชื่อเสียงอย่างดารา นักร้องดัง ๆ ที่มีผู้ติดตามจำนวนมากจะมีอิทธิพลสูงกว่าทวีตจากหน้าของผู้ใช้ใหม่
- จำนวนการไลค์ในเฟซบุค : แม้ว่า Google จะไม่สามารถเห็นบัญชี Facebook แต่ละบัญชี แต่ google ก็คำนึงถึงจำนวนไลค์ใน facebook มาช่วยในการจัดอันดับด้วย แม้ว่าจะไม่มีผลมาก
- การแบ่งปันใน Facebook: การแชร์โพสท์ใน Facebook — เพราะว่ามันคล้ายคลึงกับการสร้าง backlink ดังนั้นการแชร์ใน facebook นั้นได้ผลดีกว่าการมีไลค์ใน facebook
- หน้าผู้ใช้ที่มีชื่อเสียง: เหมือนกับ Twitter การแชร์ใน Facebook shares และการไลค์จากหน้าใน facebook ที่ได้รับความนิยมมาก ย่อมให้ผลดีกว่าหน้าทั่ว ๆ ไป
- Pinterest Pins: Pinterest เป็นโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และมีข้อมูลสาธารณะเป็นจำนวนมาก จึงดูเหมือนว่า google จะให้ความสำคัญกับ Pinterest Pins เป็นโซเชียลมีเดียที่สำคัญในการจัดอันดับ
- การโหวตบนเรื่องที่แบ่งปันบนเว็บโซเชียล: ดูเหมือนว่า Google ใช้การแบ่งปันบนเว็บอย่าง Reddit, Stumbleupon และ Digg เป็นตัวชี้วัดหนึ่งเรื่องความนิยมทางสังคมออนไลน์
- จำนวนของ Google+1′s: แม้ว่า Matt Cutts จะบอกว่า Google+ ไม่มีผลโดยตรงกับการจัดอันดับ มันก็ยากที่จะเชื่อถือ เพราะว่า google ให้ความสำคัญกับเว็บโซเชียลอื่น แล้วทำไม google จะไม่ให้ความสำคัญกับเว็บโซเชียลที่ตัวเองเป็นเจ้าของอย่าง Google Plus
- บัญชีผู้ใช้ Google+ ที่มีชื่อ: ดูเหมือนว่าการกด +1 ใน google plus จากบัญชีผู้ใช้ที่มีชื่อจะส่งผลดีมากกว่าการกดของบัญชีที่มีผู้ติดตามน้อยกว่า
- การยืนยันความเป็นผู้เขียนบน google plus (Google+ Authorship): ในเดือนกุมภาพันธ์ 2013 อีริค ชมิดท์ ซีอีโอของ Google ได้อ้างว่า:
“ภายในผลลัพท์การค้นหา ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประวัติส่วนตัวที่ทำการยืนยันออนไลน์แล้วจะได้รับอันดับที่ดีกว่าบทความทั่ว ๆ ไปที่ยังไม่มีการยืนยันตัวตน การยืนยันผู้เขียนจึงเป็นการบอกถึงคุณภาพของเว็บ - การชี้วัดการเกี่ยวข้องทางสังคม: Google อาจจะใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันจากบัญชีผู้ใช้ที่ทำการแบ่งปันบทความและข้อความรอบ ๆ ลิงก์
- การได้รับการวัดว่าเป็นเว็บที่ดีจากโซเชียลต่าง ๆ จะช่วยเพิ่ม authority ให้กับทั้งเว็บ ซึ่งจะช่วยอันดับในหน้าเว็บทั้งหมดของเว็บนั้น
- anchor text ลิงก์ที่เป็นชื่อยี่ห้อ: นั้นสั้น ๆ เรียบง่าย แต่ให้ผลดีอย่างยิ่ง
- การค้นหาชื่อเฉพาะ (ยี่ห้อ หรือชื่อเว็บไซต์) เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าเมื่อผู้คนค้นหายี่ห้อ หรือค้นหาชื่อเว็บคุณบน google (ตัวอย่างเช่น “WordThai” + “keyword”) Google จะให้ความสำคัญกับเว็บของยี่ห้อนั้นหรือเว็บที่เป็นเจ้าของชื่อเว็บนั้นเป็นพิเศษ
- เว็บไซต์ที่มีหน้าเฟซบุ๊คและจำนวนไลค์ที่มาก จะได้รับการจัดอันดับที่ดี
- เว็บไซต์ที่โปรไฟล์ Twitter Profile ที่มีผู้ติดตามจำนวนมากแสดงว่าเป็นเว็บที่ได้รับความนิยม
- หน้า Linkedin อย่างเป็นทางการของบริษัท บ่งบอกถึงความมีตัวตนจริง ๆ ของธุรกิจนั้น ๆ สร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บ
- รายชื่อลูกจ้างบนหน้าเว็บ Linkedin: หน้าประวัติส่วนตัวของผู้ใช้ที่ยืนยันทำงานอยู่บริษัทนั้น ช่วยทำให้หน้าเว็บบริษัทมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
- การเคลื่อนไหวของบัญชีโซเชียลมีเดีย: มันคงดูเป็นเรื่องแปลกที่บัญชีในเว็บโซเชียลที่มีคนติดตามมากกว่าหนึ่งหมื่นคน แต่มีเพียงสองโพสท์ ดังนั้นเว็บที่มีผู้ติดตามมากและมีความสัมพันธ์กับผู้ติดตามมาก ๆ เช่นการโพสท์เรื่องจะช่วยเรื่องอันดับได้ดีกว่า
- การเอ่ยถึงชื่อยี่ห้อบนเว็บไซต์ข่าว: เว็บยี่ห้อดัง ๆ มักจะถูกเอ่ยถึงในเว็บข่าวของ google อยู่เรื่อย ๆ ในความจริงแล้วยี่ห้อดัง ๆ บางยี่ห้อ มี feed ข่าว google ของตัวเองบนหน้าแรกด้วยซ้ำไป
- Co-Citations: Brands get mentioned without getting linked to. Google likely looks at non-hyperlinked brand mentions as a brand signal.
- จำนวนของสมาชิกรับข่าว RSS: การที่ Google เป็นเจ้าของบริการ RSS ที่มีชื่อเสียงอย่าง Feedburner จึงดูเหมือนว่า google จะให้ความสำคัญกับจำนวนสมาชิกรับข่าว RSS ว่าเว็บนั้นได้รับความนิยม
- ธุรกิจที่ลงที่อยู่ในรายชื่อ Google+ ท้องถิ่น: ธุรกิจที่แท้จริงต้องมีที่อยู่ออฟฟิตแน่นอน มันเป็นไปได้ที่ google จะให้น้ำหนักกับธุรกิจที่ลงที่อยู่ในรายชื่อ Google plus ท้องถิ่น
- เว็บไซต์เป็นWebsite is Tax Paying Business: รายงานของ SEOMoz ว่า Google อาจจะดูว่าเว็บนั้นเป็นธุรกิจที่มีการจ่ายภาษีหรือไม่ ซึ่งเป็นการยืนยันตัวตนที่ดี
- การลงโทษของแพนด้า เว็บไซต์ที่มีบทความคุณภาพต่ำ (อย่างเช่นบทความที่สร้างขึ้นมั่ว ๆ) จะถูกเมินหลังจากได้รับการลงโทษตาม algorithm Panda
- การลิงก์ไปยังเว็บแย่ ๆ : การลิงก์ไปเว็บโป๊ การพนัน ผิดกฎหมายต่าง ๆ หรือเว็บขายยาหรือพวก payday load จะทำให้อันดับเว็บของคุณแย่ลง
- การรีไดเรค: การรีไดเรคแบบโกง ๆ เพื่อหวังผลนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้า google จับได้ ไม่ใช่แค่โดนลงโทษ แต่จะโดนแบนทันที
- หน้าต่างป็อบอัพ หรือโฆษณาบังหน้าเว็บ : คู่มือแนะนำเว็บไซต์ของ google บอกว่าหน้าต่างป็อปอัพและโฆษณาที่ขึ้นมาบังหน้าเว็บบ่งบอกว่าเว็บนั้นมีคุณภาพต่ำ
- เว็บที่ทำ SEO มากเกินไป: หน้าเว็บที่มีจำนวนคีย์เวิร์ดมากเกินไป การใส่คีย์เวิร์ดลงในส่วนหัวเยอะ ๆ หรือการใช้ คีย์เวิร์ดบ่อยครั้ง อาจะได้รับผลเสีย
- หน้าที่ทำ SEO มากเกินไป: เพนกวินนั้นทำงานต่างกับแพนด้า โดยที่มันจะวิเคราะห์เป็นมาก ไม่เหมือนกับแพนด้าที่วิเคราะห์เป็นเว็บ
- โฆษณามากเกินไป: Algorithm รูปแบบเว็บ จะลงโทษเว็บไซต์ที่มีโฆษณาจำนวนมาก และมีเนื้อหาอยู่น้อย
- การซ่อนลิงก์ Affiliate : การซ่อน affiliate links โดยเฉพาะการ cloaking จะทำให้ถูกลงโทษ
- เว็บ Affiliate เป็นที่รู้กันดีว่า google ไม่ชอบเว็บ affiliates และหลาย ๆ คนก็เชื่อว่าเว็บที่มีลิงก์ affiliates จะถูกจัดอันดับต่ำกว่าความเป็นจริง
- บทความที่สร้างขึ้นมั่ว ๆ : Google เกลียดบทความที่สร้างขึ้นมั่ว ๆ หรือใช้โปรแกรมสร้างขึ้น ถ้าพวกเขาสงสัยว่าเว็บของคุณผลิตบทความที่ไม่ได้เขียนเอง อาจจะถูกลงโทษหรือโดนแบน
- การตั้งใจทำ PageRank มากเกินไป: ไม่ว่าจะเป็นการใช้ nofollow สำหรับลิงก์ออกทั้งหมด หรือลิงก์ภายในส่วนใหญ่ อาจเป็นสัญญาณว่าคุณพยายามที่จะโกงระบบที่ google คิดค้นขึ้น
- ไอพีแอดเดรส ที่ถูกระบุว่าเป็นแสปม: ถ้าไอพีของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ของคุณถูกระบุว่าเป็นสแปม มันจะส่งผลเสียกับเว็บทั้งหมดที่อยู่บนเซิร์ฟเวอร์นั้น
- การสแปม Meta Tag: การฝังคีย์เวิร์ดในส่วนของ meta tags ถ้า Google คิดว่าคุณใส่ keyword มากเกินไปที่ meta tag google อาจจะลงโทษเว็บไซต์ของคุณ
- การเพิ่มจำนวนอย่างมากของลิงก์บ่งบอกความไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่ง google จะลงโทษเว็บไซต์ของคุณ
- บทลงโทษของเพนกวิน: เว็บไซต์ที่เพนกวินลงโทษจะแทบหาไม่เจอเลยในหน้าการค้นหา
- ลิงก์จากหน้าประวัติส่วนตัวที่มี % ว่าเป็นลิงก์ด้อยคุณภาพ: ลิงก์ส่วนใหญ่ที่คนทำ SEO ใช้กันอย่างเช่นลิงก์จากความคิดเห็นหรือประวัติส่วนตัว เป็นตัวบ่งชี้ว่าคุณพยายามโกงระบบอยู่
- การลิงก์ถึงเว็บที่เกี่ยวข้องกัน: การวิเคราะห์ที่ได้รับการเชื่อถือของเว็บไซต์ MicroSiteMasters.com บอกว่าเว็บที่มีลิงก์จำนวนมากจากเว็บที่ไม่เกี่ยวข้องกันจะถูกเพนกวินลงโทษ
- คำเตือนลิงก์ไม่เป็นธรรมชาติ: Google ส่งข้อความหลายพันคำเตือนใน Google Webmaster Tools ซึ่งถ้าไม่แก้ไขจะทำให้อันดับหล่นลง แม้ว่าจะไม่ยืนยัน 100%
- ลิงก์จาก IP Class C เดียวกัน: การได้ลิงก์จากหลาย ๆ เว็บไซต์ที่อยู่บนไอพีเดียวกัน เป็นตัวบอกว่าคุณกำลังสร้างลิงก์จากเน็ตเวิร์คของตัวเอง
- ลิงก์ anchor text “ที่เป็นพิษ”: การมีลิงก์ anchor text “ที่เป็นพิษ” (ตัวอย่างเช่นคีย์เวิร์ดกลุ่ม pharmacy) จะบอกว่าเว็บคุณเป็นเว็บสแปม ถูกสแปม หรือโดนแฮก ซึ่ง google จะทำการลดอันดับเว็บของคุณ
- การลงโทษจากพนักงาน google เอง: การลงโทษส่วนใหญ่เกิดจาก algorithm ของ google แต่ถ้ามีการร้องเรียนและพนักงาน Google พบว่าทำความผิดจริง แม้ว่าจะไม่ขัดกับ algorithm ของ google พนักงาน google ก็จะทำการลงโทษเว็บนั้นโดยตรง
- การขายลิงก์: การขายลิงก์นั้นจะลด pagerank ของคุณและการส่งผลเสียกับการจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณ
- Google Sandbox: เว็บไซต์ใหม่ ๆ ที่มีลิงก์เพิ่มขึ้นจำนวนมาก จะถูกเก็บไปไว้ใน Google Sandbox ซึ่งเว็บที่โดน google sandbox นั้น จะแทบไม่ปรากฎในหน้าการค้นหาของ google
- Google Dance: การที่อันดับใน google ไม่นิ่งหรือที่เรียกกันว่า Google Dance จะส่งผลให้อันดับเว็บในหน้าการค้นหานั้นขยับเปลี่ยนแปลงไปมาอยู่ตลอดในเวลาอันสั้น เป็นกระบวนการที่ google กำลังตัดสินใจเว็บไหนที่กำลังจะโกงระบบของ google อยู่
- Disavow Tool: การใช้ Disavow Tool บน google อาจจะช่วยลบการถูกลงโทษของเว็บที่ทำ SEO ที่แย่ ๆ ออกไปได้ แต่คุณต้องแก้ไขเว็บคุณให้ถูกต้องด้วย
- การส่งคำขอให้พิจารณาใน google: การส่งคำขอที่ได้รับการตอบรับจะช่วยลบการลงโทษออกไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น